ในปี ๒๕๓๗ ธนาคารฯ ได้ริเริ่มดำเนินการทำนวัตกรรมกระบวนงานให้สินเชื่อรายย่อยให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ต่อมาปี ๒๕๓๘ ก็ได้ดำเนินการทำนวัตกรรมกระบวนงานพัสดุ เพื่อปรับปรุงระเบียบวิธีการด้านการจัดซื้อจัดจ้าง และควบคุมพัสดุคุรุภัณฑ์ของธนาคารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ปี ๒๕๓๖ ธนาคารฯ ดำเนินงานครบรอบ ๔๐ ปี และได้รับยกย่องเป็น “รัฐวิสาหกิจที่ดี” ดังนั้น จึงมีการเปลี่ยนสัญลักษณ์ธนาคารใหม่จาก “รูปวิมานเมฆ” เป็น “รูปสองมือโอบอุ้มบ้าน” ซึ่งนับเป็นรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายทันสมัย และคงความหมายของภารกิจหลักที่จะช่วยโอบอุ้มการเงินให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัย
ปี ๒๕๓๖ สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ธนาคารฯ มีฐานะเป็น “รัฐวิสาหกิจที่ดี” เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เนื่องจากผลการประกอบการที่ดีเด่น ของธนาคารฯ นับเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งที่ ๒ ที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลถัดจากการปิโตรเลียม
เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งผลจากการออกพระราชบัญญัติดังกล่าว ทำให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์สามารถเพิ่มทุนได้ตามความจำเป็นในการขยายกิจการของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารสามารถขยายการให้บริการด้านสินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้นและให้อัตราส่วนของเงินทุนของธนาคารต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลทำให้การบริหารของธนาคารมีความคล่องตัวมากขึ้น
“ชมรมสินเชื่อที่อยู่อาศัย” ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยมีคุณสิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ เป็นประธาน ต่อมาชมรมฯ ได้ยกฐานะและจดทะเบียนเป็น “สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย”เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ โดย มีคุณสิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ เป็นประธานสมาคมคนแรก
ธนาคารฯ ได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์้ด้านบริการเงินฝากแล้วเสร็จในปี ๒๕๓๓ ส่วนระบบเงินกู้ออนไลน์ ธนาคารฯ ได้ริเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ และได้ติดตั้งที่สำนักงานใหญ่และเริ่มทดลองใช้งานคู่ขนานกับระบบเดิมเมื่อปี ๒๕๓๓ ต่อมาได้ใช้งานอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๔
นายสิทธิชัย ตันติ์พิพัฒน์ เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารฯ คนที่ ๖ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ – ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งในช่วงระยะเวลากว่า ๖ ปี ที่ท่านบริหาร นับว่าเป็นยุคที่ธนาคารฯ มีความรุ่งเรืองสูงสุด ทั้งในแง่ของการขยายสินเชื่อ การขยายสาขา และด้านอื่น ๆ
ธนาคารฯ เริ่มมีนโยบายในการขยายให้บริการทั้งทางด้านสินเชื่อและเงินฝากในจังหวัดใหญ่ ๆ ของภูมิภาค โดยได้เปิด “สาขาสำนักงานเชียงใหม่” ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งนับเป็นสาขาแรกในจังหวัดภูมิภาค และเป็นสาขาแห่งที่สองของธนาคารฯ ต่อจากสาขาราชดำเนิน
ในปี ๒๕๒๙ สถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินโดยรวมของประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ธนาคารฯ ได้ปรับปรุงระบบงานอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการจ้างผู้ประเมินค่าทรัพย์สินภายนอก
มาทำการประเมินค่าหลักประกันให้การประเมินราคามีมาตรฐาน และช่วยให้การดำเนินงานของธนาคารฯ รวดเร็วมากขึ้น
ปี ๒๕๒๙ ธนาคารฯ เปิด “สำนักงานใหญ่แห่งใหม่” ขึ้นที่ถนนพระราม ๙ แยกอโศก – ดินแดง เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ และใช้สำนักงานใหญ่เดิมที่ถนนราชดำเนินเป็นสำนักงานสาขา ดังนั้น “สำนักงานราชดำเนิน” จึงกลายสภาพเป็นสำนักงานสาขาแห่งแรกของธนาคารอาคารสงเคราะห์
ในปี ๒๕๒๗ ธนาคารฯ เน้นการระดมเงินทุนจากต่างประเทศโดยการออกพันธบัตรเงินกู้ และภายในประเทศริเริ่มให้มีการนำเสนอรูปแบบเงินฝากใหม่ที่เรียกว่า “บัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษ” ที่ลูกค้าไม่ต้องเสียภาษี และสามารถถอนเงินได้ทุกเดือน ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างแพร่หลาย
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและกลยุทธ์ด้านการเงินการธนาคาร เพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงขององค์กรในระยะยาวหลายประการ อาทิ การแยกส่วนเงินกู้ที่มีการปล่อยสินเชื่อทั้งรายย่อยและโครงการออกเป็น ๒ ส่วน คือ “ส่วนเงินกู้ทั่วไป” และ “ส่วนเงินกู้โครงการ” และเริ่มปรับปรุงกระบวนการให้สินเชื่อที่ดีขึ้น เช่น การสร้างหลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์สินเชื่อที่รอบคอบรัดกุมขึ้น และมีการทำการตลาดสินเชื่อ โดยมีการจัดทำเอกสารแผ่นพับการขอสินเชื่อ เพื่อให้ลูกค้าเข้าได้ชัดเจนและง่ายขึ้น
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารฯ คนที่ ๕ โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ – ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า ๘ ปีที่ท่านบริหารงานที่ธนาคารฯ ท่านได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบทบาทของธนาคารฯ ให้เติบโตก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ธนาคารฯ ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินตึงตัวในปี ๒๕๒๒ และในปี ๒๕๒๔ ได้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ ธนาคารฯ ต้องประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจากการปล่อยเงินกู้ระยะสั้นให้กับเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรจำนวนมาก จึงนับเป็นช่วงที่ธนาคารฯบริหารงานด้วยความลำบากยิ่ง
นายมานะศักดิ์ อินทรโกมาลย์สุต เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารฯ คนที่ ๔ ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารฯ
ต้องเผชิญกับมรสุมสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนักแต่ท่านก็ยังสามารถประคับประคอง
ให้ธนาคารฯ ดำเนินต่อไปได้
ธนาคารฯ เปิดดำเนินธุรกิจในการรับฝากเงิน (Deposit Taking) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยประกอบด้วยเงินฝาก ๓ ประเภท ได้แก่ ๑) เงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม หรือเงินฝากกระแสรายวัน ๒) เงินฝากออมทรัพย์ ๓) เงินฝากประจำ ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑๒ เดือนขึ้นไป
ผลของกฎหมาย 2 ฉบับ คือ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 316 จัดตั้งการเคหะแห่งชาติ และประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 317 ทำให้มีการแยกกิจการเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อที่ดินและอาคารของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้กับการเคหะแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ดังนั้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์จึงทำหน้าที่เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยประการเดียว (Specialized Housing Finance Institution) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา
ในปี ๒๕๑๖ ธนาคารฯได้โอนกิจการด้านการจัดสรรที่ดินและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้กับการเคหะแห่งชาติ ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่โอนให้การเคหะแห่งชาติคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๖๔ ล้านบาท ซึ่งนับเป็น Mile Stone หรือจุดเปลี่ยนบทบาทที่สำคัญจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของธนาคารฯ ช่วงต่อไป
เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๖ รัฐบาลได้จัดตั้ง “การเคหะแห่งชาติ” ขึ้นตาม“ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๖” ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕
ลงนามโดย จอมพลถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
นายตุ๋ย เหล่าสุนทร กรรมการผู้จัดการธนาคารฯ คนที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนในการผลักดันกฎหมายสำคัญ คือ การออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๖ จัดตั้งการเคหะแห่งชาติ
และประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๗ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕
รัฐบาลสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๗ ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖ คณะปฏิวัติเห็นสมควรปรับปรุงกิจการธนาคารฯ ให้สอดคล้องและประสานกับกิจการของการเคหะแห่งชาติ
ในช่วงปี ๒๔๙๗-๒๔๙๙ ธนาคารฯได้จัดสร้างโครงการที่อยู่อาศัยหลายโครงการ ได้แก่ โครงการอาคารสงเคราะห์พิบูลวัฒนา (สามเสน) เนื้อที่ ๒๕ ไร่, โครงการอาคารสงเคราะห์ทุ่งมหาเมฆ เนื้อที่ ๗๖ ไร่ และได้เริ่มโครงการอาคารสงเคราะห์ถนนดินแดง จำนวนประมาณ ๖๐๐ หลัง บนที่ดิน ๑๒๐ ไร่
โครงการที่อยู่อาศัยแรกที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้จัดสร้างขึ้น ได้แก่ “โครงการพิบูลเวศม์” เป็นที่อยู่อาศัยประเภทเช่าซื้อ มีจำนวนอาคารเป็นบ้านเดี่ยว ๒๐๐ หลัง ตั้งอยู่ที่บริเวณพระโขนง – คลองตัน (สุขุมวิท ๗๑) บนเนื้อที่ ๘๐ ไร่ (จากเนื้อที่เต็ม ๓๐๐ ไร่) สำหรับโครงการอาคารสงเคราะห์แห่งแรก ได้ชื่อว่า “พิบูลเวศม์” นี้ ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านได้กรุณามาเป็นประธานในพิธีเปิดให้ประชาชนทำการเช่าซื้อ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2497
ในปี ๒๔๙๖ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้รับเงินทุนประเดิมจากกระทรวงการคลังเป็นเงิน
๒๐ ล้านบาท ต่อมา คณะกรรมการธนาคารฯ เห็นสมควรที่จะส่งเสริมและขยายกิจการ
สร้างอาคารสงเคราะห์ ประเภทเช่าซื้อให้มากขึ้น จึงกู้เงินจากธนาคารออมสินในช่วงปี
๒๔๙๖ – ๒๔๙๙ อีกเป็นเงิน ๕๕ ล้านบาท
ม.ร.ว. ขจิต เกษมศรี เป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์คนที่ ๒ ท่านได้ดำรงตำแหน่งนานกว่า ๑๔ ปี และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนานที่สุดในประวัติ ๖๐ ปีของธนาคารฯ และนับว่าเป็นผู้บุกเบิกบริหารงานด้านการเคหะสงเคราะห์และการจัดสรรที่ดินเพื่อการให้เช่าซื้อรายแรก ๆ ของประเทศไทย
หลวงอภิรมย์โกษากร ดำรงตำแหน่งผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์คนแรกเมื่อปี ๒๔๙๖ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีระยะเวลาดำเนินงานประมาณ ๘ เดือน (มีนาคม – สิงหาคม ๒๔๙๖)
วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เป็นประธานประกอบพิธีเปิดสำนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ ณ ถนนราชดำเนิน ธนาคารฯ จึงถือเอาฤกษ์วันนี้
เป็นวันเริ่มดำเนินการธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ “เป็นวันเกิดธนาคาร”
คณะกรรมการธนาคารชุดแรกแต่งตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้แก่
๑) พลโทประยูร ภมรมนตรี (ประธานกรรมการ) ๒) พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์
๓) นายปกรณ์ อังศุสิงห์ ๔) พ.อ. หลวงบุรกรรมโกวิท ๕) พลตรี ถนอม กิตติขจร
๖) หม่อมเจ้าสุวิชากร วรวรรณ ๗) หลวงอภิรมย์โกษากร เป็นผู้จัดการ
วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖” ขึ้น เพื่อช่วยเหลือทางการเงินให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยตามควรแก่อัตภาพ โดยประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ
วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๖