(Conflict of interest)
——————————-
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ.2496 แก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 317 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ประกอบกับคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ในการประชุมครั้งที่ 11/2563 วันที่ 26 มิถุนายน 2563 มีมติอนุมัติหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและจรรยาบรรณธนาคารอาคารสงเคราะห์ (G H Bank Corporate Principles and Code of conduct) ให้ผู้รับผิดชอบในแต่ละนโยบายต้องดำเนินการทบทวนและ ขออนุมัติคณะกรรมการธนาคาร และทุกนโยบายต้องดำเนินการปรับรูปแบบนโยบายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์จึงให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ 17/2562 เรื่อง นโยบายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของธนาคารอาคารสงเคราะห์ และให้ใช้นโยบายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับนี้แทน
1. หลักการและเหตุผล/บทนำ
ธนาคาร มีภารกิจให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยตามควรแก่อัตภาพ ธนาคารจึงดำเนินธุรกิจโดยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของธนาคารด้วยความโปร่งใส มีคุณธรรม และตรวจสอบได้ ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งธนาคารได้กำหนดให้ถือเป็นหน้าที่ของกรรมการและบุคลากรทุก ระดับในการหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและกิจการใดๆ ในลักษณะที่เป็นการขัดแย้งทางผลประโยชน์ อันจะส่งผลให้ธนาคารเสียผลประโยชน์หรือทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพลดลง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกรายโดยเท่าเทียมกัน
2. วัตถุประสงค์ของนโยบาย
2.1 เพื่อยกระดับความโปร่งใสในการบริหารจัดการของธนาคาร
2.2 เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในองค์กร
2.3 สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่คำนึงถึงความโปร่งใส เป็น ธรรม และสามารถตรวจสอบได้
2.4 เพื่อกำกับดูแลและควบคุมการบริการจัดการอย่าง เป็นธรรม เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
3. ขอบเขตนโยบาย/ขอบเขตการบังคับใช้
นโยบายนี้ มีผลบังคับใช้กับ กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง
4. คำจำกัดความ/คำนิยาม
“ธนาคาร” หมายความว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์
“ผู้บริหารระดับสูง” หมายความว่า กรรมการผู้จัดการ รองกรรมการผู้จัดการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หรือผู้ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น
“ผู้บริหาร” หมายความว่า ผู้อำนวยการฝ่าย/ภาค/ศูนย์/สำนัก หรือตำแหน่งที่มีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งดังกล่าว
“ผู้ปฏิบัติงาน” หมายความว่า พนักงานตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย/ภาค/สำนัก/ศูนย์ หรือตำแหน่งที่มีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นซึ่งเทียบเท่าตำแหน่งดังกล่าวลงมารวมถึง พนักงานสัญญาจ้าง และลูกจ้างธนาคาร
5. เนื้อหาของนโยบาย
5.1 กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน ต้องมีจิตสำนึกในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนเสมอ
5.2 กำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน เปิดเผยข้อมูลรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือรายการที่เกี่ยวโยงกัน เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ใดๆ พร้อมทั้งต้องดำเนินการตรวจสอบตนเอง (Declare) ตามแบบรายงานที่ทางการและธนาคารกำหนด และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สาธารณะชนว่ามีการกำกับดูแลกิจการที่ดี และตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอจึงได้กำหนดให้ทุกฝ่าย/ภาค/ศูนย์/สำนัก ที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่สำรวจรายการที่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นประจำทุกปีโดยคณะกรรมการตรวจสอบจะสอบทานประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการควบคุมภายใน กระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดี และกระบวนการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนพิจารณารายการที่เกี่ยวโยงกันหรือรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์และรายงานคณะกรรมการธนาคารทราบ
5.3 กรณีที่กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน คนหนึ่งคนใดมีส่วนได้เสีย หรืออาจมีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประโยชน์ในเรื่องที่กำลังพิจารณาหรืออนุมัติ บุคคลดังกล่าวต้องไม่เข้าร่วมพิจารณา หรืองดออกเสียงในวาระที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียนั้น
5.4 หลีกเลี่ยงการทำรายการที่เกี่ยวโยงกับตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และไม่กระทำการในลักษณะใดๆ อันเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของธนาคารหรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
5.5 กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน จะอนุมัติการเข้าทำรายการใดๆ ต้องพิจารณาด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม เหมาะสม และรอบคอบ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของธนาคาร ให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกำหนดของทางการและธนาคารได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง
5.6 การกระทำซึ่งเป็นเหตุให้กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงาน ได้รับผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ หรือไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากที่พึงได้ตามปกติ จักนำไปสู่ความเสียหายต่อธนาคารได้ และให้สันนิษฐานว่าเป็นการกระทำที่ขัดแย้งผลประโยชน์ของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
1) รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดหรือของขวัญจากบุคคลนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกำหนดของทางการและธนาคาร เว้นแต่เป็นการรับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์วิธีการและจำนวนที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำหนด
2) ใช้เอกสารหรือข้อมูลภายในธนาคาร เพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้นั้นได้รับประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ หรือไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย
3) นำทรัพย์สินของธนาคารไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว เว้นแต่มีระเบียบปฏิบัติงานของธนาคารกำหนดให้ใช้ได้ หากไม่มีระเบียบปฏิบัติงานกำหนดไว้ สามารถใช้ได้ในกรณีมีความจำเป็นตามสมควร
6. บทบาท/อำนาจหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องนโยบาย
เพื่อให้มีการปฏิบัติเป็นไปตามนโยบายนี้ คณะกรรมการธนาคารมอบหมายให้ ผู้บริหารระดับสูง และ ผู้บริหาร กำหนดเป็นระเบียบ และคู่มือปฏิบัติงานเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติงานของธนาคารในทุกระดับต่อไป
7. การประเมินและรายงานผลการปฏิบัติงาน
เพื่อให้การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ผลอย่างจริงจัง เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ นโยบายและคู่มือปฏิบัติงานธนาคาร จึงได้กำหนดให้ทุกฝ่าย/ภาค/ศูนย์/สำนัก ที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ในการประเมินและรายงานผลการปฏิบัติงานธนาคารให้เป็นไปตามนโยบายอย่างเคร่งครัด
8. อำนาจอนุมัติและการทบทวนนโยบาย
กำหนดให้สายงานกฎหมาย โดยฝ่ายกำกับการปฏิบัติงาน ทำหน้าที่ทบทวนนโยบายการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ปีละครั้ง และกรณีที่กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับของทางการ มีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อนโยบายฉบับนี้ โดยให้นำเสนอต่อคณะกรรมการธนาคารพิจารณาอนุมัติ